Get in touch

02-100-6897

admin@emcthai.com


8/65 Soi Anamai Ngamcharoen 25,

Tha Kham, Bang Khun Thian, BKK 10150


Follow us
Energy Medical Center
(Thailand)

เราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์พลังงาน หนึ่งในการแพทย์ทางเลือก ที่จะมาช่วยให้คุณแก้เรื่องปัญหาเรื่องสุขภาพจากภายใน

emcthai.com

ใช้ชีวิตอย่างมีสติ เพื่อสุขภาพที่แข็งแรง ช่วยลดความเครียด

Mindfulness • Aug 05, 2022

ทำสมาธิมีส่วนช่วยให้ภาวะทางอารมณ์ดีขึ้น

ทำสมาธิมีส่วนช่วยให้ภาวะทางอารมณ์ดีขึ้น

การให้ความสนใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นในวินาทีนี้อาจเป็นเรื่องยาก เรามักใช้เวลาคิดถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตมากขึ้น หรือจมปลักอยู่กับอดีตที่เราเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เราอาจพลาดประสบการณ์ในปัจจุบัน

เป็นไปได้ที่จะฝึกตัวเองให้จดจ่ออยู่กับปัจจุบันขณะ คุณตระหนักถึงสิ่งที่เกิดขึ้นภายในและรอบตัวคุณ—ความคิด ความรู้สึก ความรู้สึก และสิ่งแวดล้อมของคุณ คุณสังเกตช่วงเวลาเหล่านี้โดยไม่มีการตัดสิน นี้เรียกว่า สติสัมปชัญญะ

ดร.เอริค ลูคส์ ผู้อำนวยการศูนย์สติที่มหาวิทยาลัยบราวน์ อธิบายว่า “เรากำลังมองความคิดและความรู้สึกของเราด้วยความอยากรู้อยากเห็น ความอ่อนโยน และความเมตตา”

สติมีรากฐานมาจากการทำสมาธิแบบพุทธ การทำสมาธิเป็นการปฏิบัติที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อเพิ่มการรับรู้ของจิตใจและความเข้มข้น

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สติได้กลายเป็นคำศัพท์ในครัวเรือน ปัจจุบันโปรแกรมการฝึกสติพบเห็นได้ทั่วไปในโรงเรียน ที่ทำงาน และโรงพยาบาล

การเจริญสติอาจเกี่ยวข้องกับการนั่งสมาธิที่ฝึกในที่เงียบๆ ในการปฏิบัตินี้ คุณมุ่งความสนใจไปที่การหายใจหรือความรู้สึกในร่างกาย หากความคิดของคุณฟุ้งซ่าน เช่น ความคิดที่ผุดขึ้นมาเกี่ยวกับสิ่งที่คุณต้องทำ คุณพยายามหวนกลับไปสู่ปัจจุบันขณะ

แต่สติไม่จำเป็นต้องนั่งนิ่งหรือเงียบ คุณสามารถรวมการฝึกปฏิบัติเข้ากับสิ่งที่คุณทำทุกวัน เช่น การเดินหรือการรับประทานอาหาร คุณสามารถมีสติในขณะที่โต้ตอบกับผู้อื่น

กล่าวคือ การทำสมาธิมีส่วนช่วยให้ภาวะทางอารมณ์ดีขึ้น เช่น ช่วยให้มีทัศนคติใหม่ ๆ ที่ดีขึ้น เมื่อต้องอยู่ในสถานการณ์ที่ทำให้เกิดความเครียด เพิ่มความสามารถในการรับมือกับความเครียด ช่วยให้เกิดการรู้จักตนเอง

ประโยชน์ของการการฝึกสติและสมาธิ

ข้อดีของการการฝึกสติและสมาธิ

การศึกษาแนะนำว่าการจดจ่ออยู่กับปัจจุบันสามารถส่งผลดีต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีได้

การบำบัดด้วยสติได้รับการแสดงเพื่อลดความวิตกกังวลและภาวะซึมเศร้า นอกจากนี้ยังมีหลักฐานว่าการมีสติสามารถลดความดันโลหิตและปรับปรุงการนอนหลับได้ อาจช่วยให้ผู้คนรับมือกับความเจ็บปวดได้

ดร. Zev Schuman-Olivier จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดกล่าวว่า "สำหรับโรคเรื้อรังหลายอย่าง การทำสมาธิแบบเจริญสติอาจช่วยปรับปรุงคุณภาพชีวิตและลดอาการทางจิต

หนึ่งในการบำบัดด้วยสติครั้งแรกที่ใช้สำหรับภาวะซึมเศร้า การศึกษาจำนวนมากแสดงให้เห็นว่าอาจมีประสิทธิภาพสำหรับบางคน

การมีสติอาจช่วยให้เกิดภาวะซึมเศร้าได้สองวิธี อย่างแรก มันช่วยให้คุณพัฒนาความสามารถในการอยู่บนพื้นฐานปัจจุบัน ดร. Sona Dimidjian จากมหาวิทยาลัยโคโลราโด โบลเดอร์อธิบาย เธอศึกษาการใช้การรักษาแบบมีสติเพื่อป้องกันการกำเริบของโรคซึมเศร้า รวมทั้งในสตรีมีครรภ์

ด้วยความซึมเศร้า “ความสนใจของคุณอาจถูกแย่งชิงไปในอดีตหรืออนาคต” เธออธิบาย คุณใช้เวลาจดจ่อกับประสบการณ์เชิงลบในอดีตหรือกังวลเกี่ยวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น

ประการที่สอง การมีสติสามารถช่วยคุณ "ขจัดจุดศูนย์กลาง" จากความคิดดังกล่าวได้ “มันเหมือนกับการได้นั่งริมฝั่งแม่น้ำและดูความคิดที่ลอยอยู่เหมือนใบไม้ในลำธาร” Dimidjian กล่าว “การพัฒนาทักษะของสติสามารถช่วยหยุดคุณไม่ให้ถูกดึงเข้าไปในความคิดใด ๆ และไหลไปตามกระแส ผู้คนมักประสบกับความคิดเช่น 'ไม่มีอะไรจะดีสำหรับฉัน' หรือ 'มันจะเป็นแบบนี้เสมอ เมื่อเวลาผ่านไป และด้วยการฝึกฝน คุณสามารถพัฒนาความสามารถในการยืนหยัดจากรูปแบบความคิดที่เจ็บปวดเหล่านี้ได้”

ขณะนี้นักวิจัยกำลังศึกษาว่าการฝึกสติสามารถช่วยในสภาวะอื่นๆ ได้หรือไม่ รวมถึง PTSD ความผิดปกติของการกิน และการเสพติด

Schuman-Olivier กำลังมองหาว่าการมีสติสามารถช่วยลดความวิตกกังวลในหมู่ผู้ที่ได้รับการรักษาด้วยการใช้ opioid ได้หรือไม่ นี้สามารถช่วยป้องกันการกำเริบของโรค

การพัฒนานิสัยที่ดีต่อสุขภาพ

การพัฒนานิสัยที่ดีต่อสุขภาพ

การมีสติสัมปชัญญะอาจช่วยให้คุณมีทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้น ทีมงานของ Loucks ที่ Brown ได้สร้างโปรแกรมการฝึกสติแปดสัปดาห์สำหรับผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง

พวกเขาศึกษาว่าโปรแกรมเพิ่มความตระหนักของผู้เข้าร่วมเกี่ยวกับนิสัยของตนหรือไม่ รวมถึงวิธีการกินด้วย ผลการศึกษาพบว่าผู้เข้าร่วมเลือกรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพหลังจากเรียนจบหลักสูตร

คุณสามารถนำสติมาสู่นิสัยการกินของคุณได้เช่นกัน การศึกษาแนะนำว่าสามารถช่วยลดการกินมากเกินไปและการกินอารมณ์ การเอาใจใส่ร่างกายอย่างใกล้ชิดจะช่วยให้คุณสังเกตเห็นสัญญาณว่าคุณอิ่มและช่วยให้คุณเพลิดเพลินกับอาหารได้ดีขึ้น

การรับรู้ร่างกายนี้ดูเหมือนจะเป็นส่วนหนึ่งของการที่การมีสติช่วยให้ผู้คนมีนิสัยที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้น หากคุณเพิ่งกินเจลลี่โดนัท คุณอาจสังเกตเห็นความผิดพลาดของน้ำตาลที่ไม่พึงประสงค์ Loucks อธิบาย การจำสิ่งนี้จะช่วยให้คุณเลือกอาหารได้ดีขึ้นในอนาคต

สิ่งนี้นำไปสู่ความรู้สึกเชิงบวกเช่นกัน “ด้วยการออกกำลังกาย ทุกคนรู้สึกดีขึ้นหลังจากนั้น ดังนั้น ด้วยการฝึกสติ เราตระหนักดีว่าการฝึกสตินั้นทำให้อารมณ์ของเราดีขึ้น และจากนั้นเราก็สามารถใช้รางวัลนั้นเพื่อฝึกฝนตนเองได้อย่างแท้จริง” Loucks กล่าว

การมีสติอาจช่วยในการตั้งเป้าหมายได้เช่นกัน “เราสามารถตั้งจิตให้กระฉับกระเฉงมากขึ้นหรือกินผักและผลไม้มากขึ้น และถ้าเราตั้งใจไว้ที่นั่น เราอาจมีโอกาสมากขึ้นที่จะดำเนินการและทำให้มันเกิดขึ้น” ลูคส์อธิบาย

เรียนรู้ที่จะมีสติ

เรียนรู้ที่จะมีสติ

หากคุณต้องการฝึกสติ มีโปรแกรมและแอพออนไลน์มากมาย แต่ก็ไม่ได้ถูกสร้างมาอย่างเท่าเทียมกัน ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้มองหาแหล่งข้อมูลจากโรงเรียนแพทย์และมหาวิทยาลัย ตรวจสอบเพื่อดูว่าเป็นไปตามหลักฐานหรือไม่

ทีมของ Dimidjian ได้พัฒนาโปรแกรมฝึกสติออนไลน์แบบแนะนำตนเองเป็นเวลาแปดสัปดาห์ การศึกษาของเธอแสดงให้เห็นว่าโปรแกรมช่วยลดอาการซึมเศร้าได้มากกว่าการรักษามาตรฐานเพียงอย่างเดียว

“อย่างไรก็ตาม หากคุณมีปัญหากับแอพ อย่าคิดไปเองหรือคิดว่าคุณมีสติไม่ดี หรือมันไม่ได้มีไว้สำหรับคุณ” Schuman-Olivier กล่าว คุณยังสามารถลองหาครูหรือคนที่มีทักษะที่จะแนะนำคุณในการฝึกสติได้

และเช่นเดียวกับทักษะอื่นๆ การฝึกสติต้องอาศัยการฝึกฝน Dimidjian กล่าวว่า "เพียงเพราะบางสิ่งเรียบง่าย ไม่ได้หมายความว่าง่าย"

การฝึกจิตอาจต้องใช้เวลาและความทุ่มเท ตั้งเป้าให้มีสติสักสองสามนาทีในแต่ละวันเพื่อเริ่มต้น

การทำสมาธิด้วยการสแกนร่างกายอาจเป็นวิธีที่ดีในการเชื่อมต่อกับร่างกายของคุณ ช่วยให้คุณรู้ว่าร่างกายของคุณรู้สึกอย่างไรเมื่อคุณสแกนจิตใจตั้งแต่หัวจรดเท้า

เริ่มต้นในท่าที่สบายเมื่อหลับตา หายใจเข้าลึก ๆ หลายครั้ง จากนั้นสังเกตเท้าของคุณ พวกเขารู้สึกอย่างไร?

ให้การสแกนของคุณเดินทางไปตามร่างกาย—ขา ท้อง แขน มือ คอ และสุดท้ายที่ศีรษะ สังเกตความรู้สึกหรือความรู้สึกไม่สบายใดๆ พยายามอย่าเปลี่ยนหรือตัดสินความรู้สึกเหล่านี้ คุณเพียงแค่เช็คอิน การสแกนร่างกายเป็นประจำจะช่วยเพิ่มสติได้

ปรับใจให้ไหวกับโลกวุ่นวาย ผ่าน Mindfulness

เคยไหมที่ทำหรือพูดอะไรไปโดยไม่ทันคิด หรือคิดได้แต่ห้ามตัวเองไม่ให้พูดไม่ทัน มารู้สึกตัวอีกที เราได้ทำให้อีกฝ่ายเสียความรู้สึกกับคำพูดหรือการกระทำของเราไปแล้ว ยิ่งสถานการณ์ในช่วงนี้ ทั้งโรคภัยไข้เจ็บ มลภาวะทางอากาศ และการเมือง ก็ทำให้หลาย ๆ คนมีอาการวิตกกังวล เครียด หรือหัวร้อนเอาได้ง่าย ๆ มีวิธีที่สามารถช่วยให้เราผ่อนคลาย ไม่หัวร้อน ไม่ panic และตื่นตระหนกกับสถานการณ์รอบตัวจนเกินไป การฝึกให้เกิด Mindfulness หรือการตระหนักรู้เท่าทันความคิดความรู้สึกของตนเอง เป็นคำตอบที่เราอยากแนะนำ



Mindfulness คืออะไร

Mindfulness คือภาวะที่มนุษย์มีความตระหนักรู้สึกตัวอยู่กับปัจจุบัน รู้ว่าตนอยู่ที่ไหน กำลังทำอะไร มีความรู้สึกอะไรอยู่ กำลังอยู่ในอารมณ์ไหน มีความนึกคิดถึงเรื่องอะไรอยู่ นอกจากความตระหนักรู้ตัวแล้ว ยังสามารถรู้ด้วยว่าความคิดและความรู้สึกที่กำลังมีอยู่เป็นทางบวกหรือทางลบ แล้วความคิดหรืออารมณ์ดังกล่าวทำให้เกิดปฏิกิริยาทางร่างกายอย่างไรบ้าง เช่น บางคนไม่รู้ตัวว่ากล้ามเนื้อกำลังเกร็งและตึง หรือบางคนไม่รู้ตัวว่าได้ชักสีหน้าไปเสียแล้ว ทั้งนี้ เมื่อเราตระหนักรู้เท่าทันภาวะของตนเองในแต่ละขณะ เราจึงจะสามารถควบคุม ชะลอ หรือบรรเทาปฏิกิริยาทั้งทางร่างกายและอารมณ์ที่อาจเป็นไปโดยอัตโนมัติได้ เช่น การตวาดขึ้นเสียง เราอาจรู้ตัวแล้วหยุดตัวเองได้ทัน หรือสามารถปรับน้ำเสียงกลับมาเป็นปกติได้เร็วขึ้น เป็นต้น กล่าวคือ ลดการมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งรอบตัวที่เป็นไปอย่างอัตโนมัติ หรือการตอบสนองเกินกว่าเหตุได้



แท้จริงแล้ว Mindfulness เป็นทักษะความสามารถพื้นฐานที่ติดตัวมากับมนุษย์ มนุษย์เป็นสิ่งชีวิตที่สามารถพิจารณาเข้าไปในตนเองว่าทำไมเราถึงคิดเช่นนี้ ทำไมเราจึงรู้สึกเช่นนั้น อย่างไรก็ตาม อาจไม่ใช่ทุกคนที่กลับมาทบทวนกับตนเองอย่างสม่ำเสมอ และอาจไม่ใช่ทุกคนที่สามารถรู้ตัวและควบคุมตนเองได้ โดยเฉพาะในยุค 5G ที่เทคโนโลยีทำให้ให้ทุกอย่างในชีวิตหมุนเร็วไปเสียหมด ข้อมูล ความเครียด ต่างไหลเข้ามา ถาโถมเข้ามาตลอด 24 ชั่วโมง ไม่มีวันหยุด ดังนั้น Mindfulness จึงต้องอาศัยการให้เวลาเพื่อฝึกฝนและปฏิบัติอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอเพื่อให้เกิดภาวะรู้สึกตัวนี้ขึ้น



ฝึก Mindfulness ได้อย่างไรบ้าง?

จริง ๆ แล้ว การฝึกให้มี Mindfulness สามารถเริ่มต้นฝึกได้ง่าย ๆ กับกิจวัตรประจำวันของคุณ โดยเริ่มจากหลังตื่นนอน ลองให้เวลากับตัวเองสั้น ๆ เพื่อสำรวจร่างกายตัวเอง มีอาการเมื่อย ตึง ตรงไหนหรือเปล่า ลองบิดหรือยืดร่างกายสักเล็กน้อยบนเตียง ในระหว่างนั้นอาจสำรวจความรู้สึกตนเองว่ารู้สึกสดชื่น หรือยังง่วงนอน เวียนหัว หลังจากนั้นให้ลองหายใจเข้าลึก ๆ นับหนึ่งถึงสี่ แล้วหายใจออกยาว ๆ นับหนึ่งถึงสี่อีกเช่นกัน ทำอย่างนี้สักสองถึงสามครั้ง คุณจะรู้สึกผ่อนคลายและพร้อมขึ้นสำหรับการเริ่มต้นวันใหม่ ในส่วนของกิจวัตรอื่น ๆ เช่น แปรงฟัน อาบน้ำ ทำกับข้าว ล้างจาน คุณสามารถฝึก Mindfulness ได้ ด้วยการทำอะไรให้ช้าลง สังเกตสิ่งที่ทำมากขึ้น คุณอาจพากย์กิจกรรมของคุณภายในใจก็ได้ เพื่อให้รู้ตัวว่ากำลังแปรงฟันส่วนไหนอยู่ สะอาดเพียงพอหรือยัง และลองเปิดประสาทสัมผัสต่าง ๆ ในขณะทำกิจวัตรประจำวัน เช่น ลองสังเกตกลิ่นของยาสีฟัน กลิ่นของสบู่ สัมผัสถึงอุณหูมิของน้ำ และความรู้สึก รวมไปถึงนอกจากได้ยินเสียงน้ำไหลออกจากฝักบัวแล้ว คุณได้ยินเสียงอะไรบ้างที่อยู่ไกลออกไป เสียงนกร้อง หรือเสียงเพื่อนบ้านคุยกัน นอกจากนี้ การรับประทานอาหาร การดื่มกาแฟ เราก็สามารถทานให้ช้าลง เพื่อดื่มด่ำ ใส่ใจในรายละเอียด สังเกต และเปิดประสาทสัมผัสของเราให้มากขึ้น อยู่กับอาหารและกาแฟหอมกรุ่นตรงหน้า โดยพักโทรศัพท์หรือเรื่องงานเอาไว้ก่อน และสุดท้าย อย่าลืมสังเกตใบหน้าของตนเอง และยิ้มให้กับตัวเองในกระจก คุณอาจกล่าวให้กำลังใจหรือชื่นชมตัวเองสักเล็กน้อย เพื่อให้เกิดความรู้สึกทางบวกพร้อมสำหรับกิจกรรมที่เหลือของวัน



หากกิจวัตรประจำวันของคุณเร่งรีบมาก ลองเปลี่ยนมาจัดหาเวลา 5-10 นาที ระหว่างวัน หรือก่อนเข้านอนก็ได้ เราสามารถฝึก Mindfulness ด้วยการทำสมาธิ หรือ meditation ซึ่งเป็นการกำหนดรู้ลมหายใจ กำหนดรู้สัมผัสต่าง ๆ เพียงแค่คุณมีเวลาสัก 5 นาที อยู่ในสถานที่ที่เงียบสงบ เป็นส่วนตัว และสามารถนั่งหรือนอนในท่าที่สบาย ๆ คุณก็สามารถฝึก Mindfulness ได้แล้ว อย่างไรก็ตาม มีความเข้าใจผิดว่า การทำสมาธินั้น เราไม่สามารถวอกแวกได้ ต้องจดจ่อกับลมหายใจเท่านั้น ห้ามคิดเรื่องอื่น แต่แท้จริงแล้ว การที่เรามีความคิดแทรกเข้ามาหรือคิดไปเรื่องอื่นก็เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งของจิตมนุษย์ สิ่งสำคัญ คือไม่ใช่ไม่คิด แต่ให้รู้ตัวว่าความคิดของเรากำลังวิ่งไปตรงนั้นตรงนี้ รู้ตัวว่าเรากำลังคิดอะไรอยู่ เพียงแค่นั้น เราก็จะสามารถค่อย ๆ ดึงความคิดที่ฟุ้งซ่านกลับมาอยู่ที่ปัจจุบันกับสิ่งตรงหน้าที่เรากำลังทำอยู่ได้ กลับมาอยู่ที่ปัจจุบัน โดยอาจเริ่มต้นง่าย ๆ จากการตรวจสอบร่างกายของเรา ว่ามีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อตรงส่วนไหน ค่อย ๆ ยืดเส้น บริหารกล้ามเนื้อหน้าเพื่อผ่อนคลาย จัดท่านั่งให้สบาย แล้วจึงค่อย ๆ สังเกตลมหายใจของเราว่าเป็นอย่างไร โดยปกติแล้ว เรามักจะหายใจสั้น ๆ ดังนั้นจึงควรหายใจเข้าออกลึก ๆ และยาวขึ้น โดยหายใจเข้านับหนึ่งถึงสี่ แล้วหายใจออกนับหนึ่งถึงสี่ หลังจากนั้น จึงเริ่มสังเกตประสาทสัมผัสอื่น ๆ เช่น เราได้กลิ่นอะไรภายในห้องนี้ เราได้ยินเสียงอะไร เสียงลมหายใจของเรา เสียงเครื่องปรับอากาศ เสียงคนคุยกัน หรือเสียงรถยนต์ที่อยู่ไกลออกไป ระหว่างนี้ หากความคิดของคุณโลดแล่นไปที่อื่น ก็ไม่ต้องหงุดหงิดหรือต่อว่าตนเอง เพียงแค่คุณค่อย ๆ ดึงความคิดกลับมาที่ปัจจุบันว่าคุณกำลังทำอะไรอยู่ รู้สึก หรือได้ยินเสียงอะไรอยู่



เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ คุณอาจกำลังคิดว่าก็ไม่ยากนี่นา แต่เวลาทำจริง คุณอาจจะเผลอลืม หรือมัวแต่รีบออกไปทำงาน จนไม่ได้ลงมือทำจริงจัง ดังนั้นแล้ว คุณอาจจะลองตื่นเช้าขึ้นสักเล็กน้อย เพื่อที่คุณจะได้ไม่ต้องรีบ และอาจใช้สิ่งกระตุ้นเตือน อย่างเช่น post-it สีที่คุณชื่นชอบ แปะอยู่ตรงหัวเตียง กระจกในห้องอาบน้ำ ตู้เสื้อผ้า หรือตู้เย็น เพื่อเตือนตัวเองให้ช้าลงอีกสักนิด เป็นต้น

เทคนิคฝึกเด็กให้เปิดใจตามดูตามรู้

มันคงจะดีมากถ้าเราได้ฝึกให้เด็กรุ่นใหม่เกิด Mindfulness ด้วย คุณอุ้ม วิรัตน์เกษม วิทยากรหลักสูตร การสื่อสารอย่างมีสติผ่านเกมส์ สติบำบัดเพื่อป้องกันโรคซึมเศร้าในกลุ่มวัยรุ่น และเปิดห้องเรียนวิชาสติและสร้างผู้นำสมาธิในโรงเรียนสำหรับกลุ่มเด็กชั้นประถมศึกษา เล่าถึงเทคนิคการฝึก Mindfulness ว่าอันดับแรกเลย การฝึกเรื่อง mindfulness และการฝึกสติไม่ใช่เรื่องของศาสนา แต่มีความ universal หรือเป็นสากล ที่ใคร ชนชาติไหน ศาสนาไหนก็ฝึกได้ คุณอุ้มเองผ่านการจัดคลาสสำหรับฝึกเด็กเล็กตั้งแต่ระดับประถมไปจนถึงระดับมัธยมมามาก เธอเล่าต่อว่า เวลาเราไปบอกกับเด็ก ๆ ว่าวันนี้เราจะมาฝึกสติกัน เด็กเล็กจะไม่ get หรอก และมองว่าเป็นเรื่องน่าเบื่อ จึงต้องมีเทคนิคในการให้เด็กยอมเปิดใจตามดูตามรู้ไปกับเรา ดังต่อไปนี้

  • ต้องมีลีลาและการเกริ่นนำในแบบที่สนุกไว้ก่อน เช่น วันนี้เรามาเล่นเกมส์ตามหาภาพในอากาศให้เจอดีไหม
  • พยายามอธิบายเรื่องยากให้มองเห็นภาพตามได้ง่าย ๆ เช่น ใครอยากเห็นภาพความคิดยกมือขึ้น
  • สอดแทรกอารมณ์ที่เด็ก ๆ ชอบ เช่น การผจญภัย เพราะธรรมชาติของเด็กชอบค้นหาอยู่แล้ว
  • เน้นการฝึกความตระหนักรู้ตัวมากกว่าการให้นั่งนิ่งหลับตาเฉย ๆ เป็นการฝึกประสาทสัมผัสให้รับรู้สิ่งที่มากระทบรอบกาย เช่น ตั้งคำถามขณะที่เด็กหลับตาว่าตอนนี้ได้ยินเสียงอะไรบ้าง ความรู้สึกที่มีลมมากระทบผิวเป็นอย่างไร
  • เน้นการฝึกความตระหนักรู้แบบเคลื่อนไหวมากกว่าการให้นั่งหลับตานิ่ง เพราะเด็กจะเบื่อและง่วง เช่น ชวนเด็ก ๆ ไปสังเกตใบไม้ที่ร่วงจากต้น
  • เน้นการพูดคุยถึงอารมณ์ที่เด็ก ๆ รู้สึกอยู่ เช่น ตอนนี้ใครรู้สึกง่วงนอนบ้าง ใครหงุดหงิดบอกได้นะ
  • ชวนฝึกสมาธิแบบเข้าจังหวะ โดยมีท่าประกอบง่าย ๆ ช้า ๆ ให้เด็กทำตาม พร้อมกับกล่าวคำภาวนาดี ๆ ที่เด็ก ๆ คิดขึ้นเองเพื่อปลูกฝังคุณธรรมลงไปในจิตสำนึกด้วย


กลับมาตั้งหลักที่ลมหายใจ

ส่วนการฝึก Mindfulness ในผู้ใหญ่นั้น คุณอุ้มแนะนำเทคนิคอีกแบบ เพราะด้วยวัยที่มากกว่าก็จะผ่านร้อนผ่านหนาวมามากกว่า ดังนั้นจึงใช้เทคนิค นำชีวิตมาสู่ความสงบ โดยให้จินตนาการภาพกราฟความสุขที่พุ่งขึ้นสูง ความทุกข์เป็นเส้นกราฟที่ดิ่งลงต่ำ เราฝึกสติเพื่อให้เส้นกราฟชีวิตของเราอยู่ตรงกลาง คือความสงบแบบอารมณ์ปกติ ไม่สุขจนพรึงเพริด ไม่เศร้าจนดำดิ่ง หลักการที่ง่ายและย้ำเสมอในคลาส คือกลับมาอยู่ที่ลมหายใจทุกครั้งที่นึกได้ เพราะชีวิตอยู่ได้ด้วยลมหายใจ แต่เราชอบลืมสิ่งสำคัญนี้ไป ลมหายใจที่มีคุณภาพ คือลมหายใจที่ละเอียด ยาว และผ่อนคลาย ซึ่งช่วยนำออกซิเจนเข้าสู่ทุกเซลล์ในร่างกาย เวลาให้คำแนะนำสาว ๆ ก็จะบอกว่าเทคนิคนี้เหมือนเป็นการเบบี้เฟซเลยนะ ทำให้หน้าอ่อนเยาว์แบบไม่ต้องไปเสียเงินเยอะ การหายใจที่มีคุณภาพช่วยสร้างภูมิต้านทานให้ร่างกาย สำหรับผู้ใหญ่การฝึกสติแบบหลับตา แบบลืมตา แบบเคลื่อนไหว จริง ๆ มันคือการเน้นฝึกให้รู้ทันความคิด ความรู้สึก อารมณ์ของตนเอง เมื่อมีอะไรมากระทบความรู้สึกก็ให้กลับมาตั้งหลักที่ลมหายใจ ฝึกทำบ่อย ๆ ก็จะกลายเป็นนิสัย รู้ทันความคิดความรู้สึกตัวเอง แล้วก็จะเริ่มไม่วู่วาม ไม่ด่วนตัดสินตีความ



คำแนะนำและตัวช่วยดี ๆ ให้เริ่มต้นได้ทันที

มีงานวิจัยมากมายที่ได้ศึกษาเกี่ยวกับผลดีของการฝึก Mindfulness และการฝึกทำสมาธิ ไม่ว่าจะเป็นการช่วยลดความเครียด ลดอาการซึมเศร้า ลดปฏิกิริยาอัตโนมัติทางอารมณ์ สามารถควบคุมอารมณ์ได้ดียิ่งขึ้น รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น หงุดหงิดน้อยลง ยืดหยุ่นมากขึ้น มีความเห็นอกเห็นใจ เข้าใจผู้อื่น และเมตตาต่อผู้อื่นมากขึ้น (empathy and compassion) มีความจำเพื่อใช้งาน (working memory) ดีขึ้น สามารถมีสมาธิกับสิ่งที่ทำได้ดีขึ้น รวมไปถึงคุณภาพการนอนหลับที่ดีขึ้น และมีอาการปวดหัวไมเกรนน้อยลง โดยสุขภาวะที่ดีทั้งทางร่างกายและจิตใจเหล่านี้ จะนำไปสู่ผลดีต่อด้านอื่น ๆ ในชีวิต ทั้งความสัมพันธ์ ครอบครัว และการทำงาน

วิธีเริ่มฝึกสติ

ไม่มีวิธีที่ถูกต้องหรือสมบูรณ์แบบในการฝึกสติ Ehrman แนะนำให้เลือกสถานที่ที่คุณสามารถปราศจากการรบกวนจากผู้คน สัตว์เลี้ยง และอื่นๆ “ใช้อุปกรณ์อัจฉริยะของคุณเพื่อตั้งเวลาหนึ่งหรือสองนาที” เธอกล่าว นอกจากนี้ คุณสามารถเพิ่มดนตรีบรรเลงหรือเสียงธรรมชาติในพื้นหลังได้ ถ้าคุณรู้สึกเช่นนั้น เธอแนะนำ

“นั่งหรือนอนราบ – คุณไม่จำเป็นต้องไขว่ห้างหรือใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้เข้าหากัน – คุณไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้น” Ehrman กล่าว “ถ้าคุณสบายใจที่จะหลับตา ฉันแนะนำให้คุณทำอย่างนั้น เพราะนั่นสามารถขจัดสิ่งรบกวนสมาธิได้มากมาย จากนั้นให้ใส่ใจกับการหายใจของคุณ” เมื่อคุณมีความคิดบางอย่าง แค่บอกตัวเองว่าคุณจะกลับมาที่นั้นในภายหลัง และกลับไปจดจ่อกับการหายใจของคุณ เธอกล่าว

บางคนมุ่งเน้นไปที่มนต์ซึ่งสามารถเป็นจิตวิญญาณหรือฆราวาส Ehrman กล่าว มนต์คือคำหรือวลีที่พูดซ้ำระหว่างการทำสมาธิหรือการทำสมาธิรูปแบบอื่น ๆ ตัวอย่างของมนต์คือ “ตอนนี้ฉันสบายดี” หรือ “ในขณะนี้ฉันสงบและสงบ” เธอกล่าว “คุณยังสามารถจดจ่อกับคำเพียงคำเดียวได้ ตัวอย่างเช่น 'ความสุข' และทำซ้ำตามที่คุณต้องการ”

แม้แต่คนที่ฝึกสติมานานเท่า Ehrman ก็อาจมีข้อโต้แย้งอย่างต่อเนื่องในหัวของเธอว่าวิธีนี้ได้ผลหรือเธอควรจะทำต่อไป “และไม่เป็นไร” เธอกล่าว “ไม่มีทางดีหรือเลวหรือถูกหรือผิด - เป็นการฝึกฝนทุกวัน”

คุณไม่จำเป็นต้องมีพื้นที่เฉพาะหรือตัวจับเวลาเพื่อฝึกสติเช่นกัน Ehrman กล่าว “คุณสามารถฝึกฝนได้ทุกที่” เธอกล่าว “คุณไม่จำเป็นต้องนั่งด้วยซ้ำ คุณสามารถยืนและมองออกไปนอกหน้าต่าง หรือแม้แต่จ้องมองฉากที่สวยงามบนสกรีนเซฟเวอร์ของคุณได้”

สำหรับหลาย ๆ คน การมีสติอาจเป็นเรื่องท้าทายและอาจทำให้เสียขวัญได้ เป็นทั้งการปฏิบัติส่วนบุคคล แต่ยังจำเป็นในการขอความช่วยเหลือและสำรวจการฝึกปฏิบัติร่วมกับผู้อื่น มีชั้นเรียนเบื้องต้น เช่น การลดความเครียดตามสติ (MBSR) และความเห็นอกเห็นใจตนเองอย่างมีสติ (MSC) และกลุ่มอื่นๆ ในเมืองใหญ่ส่วนใหญ่

สรุป

จุดประสงค์ของการปฏิบัติสมาธิส่วนใหญ่คล้ายคลึงกัน คือการผ่อนคลายจากชีวิตที่ยุ่งเหยิง สภาพจิตใจที่ว้าวุ่น การพบหนทางหรือสาเหตุแห่งความเป็นจริง การติดต่อกับพระผู้เป็นเจ้า และการหลุดพ้นตามความเชื่อทางศาสนา ดังนั้นงานวิจัยส่วนใหญ่จึงมุ่งเน้นไปที่การฝึกสมาธิอย่างเข้มข้นเพื่อการรู้แจ้ง การตระหนักถึงเหตุแห่งความเป็นจริง การสร้างวินัยในตนเอง การควบคุมจิตใจและร่างกาย และความสงบหรือปล่อยวางสิ่งต่างๆ ที่เข้ามากระทบกับชีวิต นักเขียนหลายๆท่านหลีกเลี่ยงที่จะกล่าวถึงโทษของสมาธิ บางครั้งทำให้บางคนยึดติดกับภาวะจิตนิ่งอยู่กับที่ จนเกิดความประมาท เกียจคร้าน ทำให้ผู้สอนการฝึกสมาธิกลัวว่าจะกระทบกับความรู้สึกของผู้ที่กำลังฝึกสมาธิอยู่ นอกจากนี้ถ้าฝึกสมาธิเพียงลำพังบางครั้งอาจทำให้เกิดความรู้สึกฟุ้งซ่าน งมงายได้

Follow Us

Keep up with our latest news


ขวดน้ำคริสตัลบำบัด (Crystal Bottle) ขวดน้ำอัญมณีธรรมชาติบำบัด
By EMC Thailand 21 Apr, 2022
ขวดน้ำคริสตัลทำงานอย่างไร และประโยชน์ของขวดน้ำคริสตัล มีอะไรบ้าง ขวดน้ำคริสตัลบำบัด (Crystal Bottle) ขวดน้ำอัญมณีธรรมชาติบำบัด วิธีเลือกขวดน้ำคริสตัลบำบัด
โรคหมอนรองกระดูกทับเส้น (Herniated Disc) ปวดหลังรักษาด้วยจักระ
By EMC Thailand 21 Apr, 2022
อาการของ โรคหมอนรองกระดูกสันหลัง กดทับเส้นประสาท สัญญาณเตือน โรคหมอนรองกระดูกทับเส้น (Herniated Disc) ปวดหลังรุนแรงอย่าวางใจ เพราะอาจเป็นสัญญาณเตือนโรคอันตราย
โรคต่อมน้ำเหลืองอักเสบ (Lymphadenitis) รักษาได้ด้วยจักระ
By EMC Thailand 13 Jan, 2022
ทำความรู้จักกับมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ว่าโรคต่อมน้ำเหลืองอักเสบ (Lymphadenitis) คืออะไร ทำไมสามารถรักษาได้ด้วยการแพทย์ทางเลือก รูปแบบการรักษาโรคด้วยพลังจักระ ช่วยให้คุณรู้ทันอาการและการรักษามะเร็งต่อมน้ำเหลือง เพราะมะเร็งต่อมน้ำเหลือง โรคร้ายใกล้ตัวที่ไม่อาจมองข้าม
วิธีเลือกหินคริสตัลบำบัด
By EMC Thailand 12 Oct, 2021
ไม่ว่าคุณจะเจ็บป่วยแบบไหนก็ตาม จะมีหินคริสตัลบำบัดที่สามารถช่วยเหลือคุณได้ เพียงแต่คุณรู้คุณสมบัติของหิน และวิธีการเลือกหินคริสตัลบำบัดที่เหมาะสมกับความต้องการของคุณอย่างเท้จริง
ขวดน้ำคริสตัลบำบัด (Crystal Bottle) ขวดน้ำอัญมณีธรรมชาติบำบัด
By EMC Thailand 21 Apr, 2022
ขวดน้ำคริสตัลทำงานอย่างไร และประโยชน์ของขวดน้ำคริสตัล มีอะไรบ้าง ขวดน้ำคริสตัลบำบัด (Crystal Bottle) ขวดน้ำอัญมณีธรรมชาติบำบัด วิธีเลือกขวดน้ำคริสตัลบำบัด
โรคหมอนรองกระดูกทับเส้น (Herniated Disc) ปวดหลังรักษาด้วยจักระ
By EMC Thailand 21 Apr, 2022
อาการของ โรคหมอนรองกระดูกสันหลัง กดทับเส้นประสาท สัญญาณเตือน โรคหมอนรองกระดูกทับเส้น (Herniated Disc) ปวดหลังรุนแรงอย่าวางใจ เพราะอาจเป็นสัญญาณเตือนโรคอันตราย
โรคต่อมน้ำเหลืองอักเสบ (Lymphadenitis) รักษาได้ด้วยจักระ
By EMC Thailand 13 Jan, 2022
ทำความรู้จักกับมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ว่าโรคต่อมน้ำเหลืองอักเสบ (Lymphadenitis) คืออะไร ทำไมสามารถรักษาได้ด้วยการแพทย์ทางเลือก รูปแบบการรักษาโรคด้วยพลังจักระ ช่วยให้คุณรู้ทันอาการและการรักษามะเร็งต่อมน้ำเหลือง เพราะมะเร็งต่อมน้ำเหลือง โรคร้ายใกล้ตัวที่ไม่อาจมองข้าม
วิธีเลือกหินคริสตัลบำบัด
By EMC Thailand 12 Oct, 2021
ไม่ว่าคุณจะเจ็บป่วยแบบไหนก็ตาม จะมีหินคริสตัลบำบัดที่สามารถช่วยเหลือคุณได้ เพียงแต่คุณรู้คุณสมบัติของหิน และวิธีการเลือกหินคริสตัลบำบัดที่เหมาะสมกับความต้องการของคุณอย่างเท้จริง
Share by: